10 Question for Interview
ช่วงนี้คนเปลี่ยนงานกันเยอะนะครับ แน่นอนว่าตั้งแต่ประเทศเราเกิดกระแสเห่อ AEC มา เรียกได้ว่าบริษัท ห้างร้าน กิจการทุกที่ก็เอาแต่สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษกันทั้งนั้น! ถ้าใครยัง “หวั่นๆ”กับการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษกดเซฟ Blog นี้ไว้เลยครับ หรือจะพิมพ์แปะฝาบ้านก็ได้ เพราะ Blog นี้ช่วยคุณได้ชัวร์ป๊าบบบบบ! มาเริ่มกันเลยกับคำถามแรกครับ...
- Tell me about yourself. -
- เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังหน่อย -
คำแนะนำ :คำถามนี้เปิดโอกาสให้คุณเล่าเรื่องให้ตัวเองดูดี แต่ควรเล่าอย่างมีชั้นเชิง โดยคุณอาจพูดถึงงานอดิเรกที่คุณทำที่ช่วยสะท้อนแง่มุมดีๆในตัวคุณ เช่น I enjoy going to a marathon running program. ฉันชอบลงวิ่งมาราธอน การที่คุณชอบวิ่งมาราธอนอาจหมายถึงคุณเป็นคนมีความมุ่งมั่น อดทน ชอบความท้าทาย และรักสุขภาพ!
หรือจะบอกว่า In my freetime, I like to go to a volunteering event. ในเวลาว่าง ฉันมักจะชอบไปทำงานอาสาสมัคร การที่คุณชอบทำงานอาสา แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และประสานงานกับผู้อื่นได้ดี เป็นต้น
เมื่อคุณพูดถึงแง่มุมสนุกๆในตัวคุณไปแล้ว คุณอาจกลับมาที่เรื่องงาน โดยใช้ประโยคว่า...
"In addition to those interests and passions”
ในส่วนที่นอกเหนือจากงานอดิเรกความสนใจของผมแล้ว
“My professional life is a huge part of who I am”
การทำงานก็เป็นพาร์ทที่สำคัญที่ทำให้ผมเป็นผมอย่างเช่นทุกวันนี้ครับ
“I'd like to talk a bit about some of the strengths which I would bring to this job."
ผมขอกล่าวถึงจุดแข็งของผมที่ผมสามารถนำมาใช้ในงานตำแหน่งนี้นะครับ
...จากตรงนี้คุณก็สามารถเล่าถึงจุดแข็งและประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาได้เลยครับ
ข้อควรระวัง :อย่าพูดมากเกินไป ควรพูดให้สั้น กระชับ ได้ใจความ และไม่ต้องเล่าถึงเรื่องส่วนตัว พ่อแม่พี่น้อง หรืออะไรที่ไม่ได้มีจุดเด่น และอย่าพูดถึงข้อดีเป็นสิบๆข้อ ให้เลือกข้อที่เด่นๆมาพูดจะดีกว่า ควรหลีกเลี่ยงเรื่องศาสนาและการเมืองเพื่อไม่ให้ดูเป็นคนชอบตัดสิน (A judgmental person) ครับ
- Why should we hire you? -
- ทำไมเราต้องจ้างคุณ -
คำแนะนำ :คุณอาจเจอคำถาม “Why should we hire you?” ทำไมเราต้องจ้างคุณ หรือ “What makes you the best fit for this position?” อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณเหมาะกับตำแหน่งนี้ คำตอบที่ควรตอบคือการ “ขายตัวเอง” ให้กับผู้สัมภาษณ์
“จงจำไว้ว่าบริษัทจ้างคน เพื่อมาแก้ปัญหา และคุณคือคนที่จะเข้ามาแก้ปัญหานั้น”
วิธีที่คุณจะตอบคำถามนั้นได้ดีที่สุด คือการทำความเข้าใจรายละเอียดของตำแหน่งที่คุณสมัคร และสกิลที่จำเป็นสำหรับงานนี้ รวมถึงเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ของบริษัท ก่อนที่จะนำเสนอเอกลักษณ์หรือจุดเด่นในตัวคุณที่ทำให้คุณเหนือกว่าผู้สมัครคนอื่น และอธิบายว่าคุณจะสามารถ “เอาชนะ” หรือ “แก้ไขปัญหา” ที่บริษัทมีได้อย่างไร
โดยคุณอาจใช้ประโยคว่า
“I have ……... ability to be an asset to your company.”
ดิฉันมีคุณสมบัติ…...ที่จะสร้างคุณค่าให้กับบริษัทของคุณค่ะ
“Your company provides many services that I have had experience with. I believe that my familiarity with the industry would make me a good fit for this position.”
องค์กรของคุณมีการให้บริการ (หรือสินค้า) ในหลายรูปแบบที่ดิฉันเคยมีประสบการณ์การทำงานด้วยมาก่อน ดิฉันเชื่อว่าความคุ้นเคยที่ดิฉันมีกับธุรกิจในรูปแบบนี้จะทำให้ดิฉันเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ค่ะ
หรือจะกล่าวถึงปัญหา (Pain Point / Problem) ที่บริษัทกำลังมีอยู่ เช่น...
“You have explained that you are looking for a sales executive who is able to effectively manage over a dozen employees.”
จากที่คุณได้อธิบายว่าคุณกำลังมองหาพนักงานขายที่สามารถบริหารลูกทีมหลายคนได้ (บริษัทมีปัญหาในการหาคนมาบริหารฝ่ายขาย)
“In my 15 years of experience as a sales manager, I have developed strong motivational and team-building skills.”
จากประสบการณ์ของดิฉันที่เป็นผู้จัดการฝ่ายขายมา 15 ปี ฉันได้เรียนรู้ทักษะการสร้างทีมและสร้างแรงจูงใจมาเป็นอย่างดีเลยค่ะ
และอาจกล่าวเพิ่มเติมถึงใบประกาศนียบัตรหรือรางวัลที่ได้รับ เช่น “I was awarded manager-of-the-year for my new managment strategies. If hired, I will bring my leadership abilities and strategies for achieving profit gains to this position.”
ดิฉันได้รับรางวัลผู้จัดการแห่งปี สำหรับกลยุทธ์การบริหารงานรูปแบบใหม่ของดิฉัน ถ้าคุณจ้างดิฉัน ดิฉันจะนำทักษะความเป็นผู้นำและกลยุทธ์ในการทำกำไรมาสู่ที่นี่เองค่ะ!
ข้อควรระวัง :ถ้าคุณถูกถามกลับกันว่า "Why shouldn't we hire you?" ทำไมเราถึงไม่ควรจ้างคุณ คุณไม่ควรตอบกวนๆว่า “ถ้าไม่อยากได้คนเก่ง ก็ไม่ต้องจ้างสิยะ” หรือ “ถ้าคุณไม่อยากได้กำไร ก็ไม่ต้องจ้างดิฉันก็ได้” แต่ให้คุณบอกถึงคุณสมบัติกลางๆ ไม่ดีไม่ร้าย เช่น “ถ้าดิฉันเป็นคนพูดน้อย อาจจะไม่เหมาะกับบริษัทที่เฮฮาอย่างนี้ก็ได้มั้งคะ” เพราะจริงๆแล้วคุณสมบัติ “พูดน้อย” แบบนี้ไม่ได้เป็นคุณลักษณะ (Trait) ที่สร้างความเสียหายให้กับบริษัทแต่อย่างใด
- What are your salary expectations? -
- คุณคาดหวังเงินเดือนเท่าไหร่ -
คำแนะนำ :คุณควรศึกษาหาความรู้ว่าสายงานของคุณโดยเฉลี่ยแล้วได้เงินเดือนประมาณเท่าไหร่ ซึ่งตัวเลขนั้นจะทำให้คุณประเมินตนเองได้ว่าควรเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ดี แต่สิ่งสำคัญคือ “อย่ายอมรับเงินเดือนที่ต่ำกว่าที่คุณตั้งใจ เว้นเสียว่าทางบริษัทอาจชดเชยเป็นผลประโยชน์อื่นๆ” ซึ่งคุณต้องชั่งน้ำหนักเอาเองว่าคุณสามารถเอาชีวิตรอดในเงินเดือนเท่านั้นได้หรือไม่
เรื่องเงินเดือนเป็นเรื่องที่ต่อรองได้ คุณต้องแฟร์กับตัวเองด้วย ซึ่งคุณสามารถบอกกับผู้สัมภาษณ์ได้ด้วยประโยคตัวอย่างเหล่านี้...
“I understand that positions similar to this one pay in the range of ฿35,000 to ฿45,000. With my experience, I would like to receive something in the range of ฿40,000 to ฿42,000.”
ผมเข้าใจว่าตำแหน่งงานแบบนี้จะจ่ายที่ประมาณ 35,000 - 45,000 บาท ด้วยประสบการณ์ของผม ผมต้องการได้รับค่าตอบแทนที่ 40,000 - 42,000 บาทครับ
หรือ “I would like to be compensated fairly for my experience.” ผมต้องการรับค่าจ้างที่ยุติธรรมสำหรับประสบการณ์ของผมครับ
หรือ “The research I've done indicates that positions like this one pay ฿35,000 to ฿45,000 and something in that range would be acceptable to me as a starting salary.”
จากที่ผมทำการบ้านมา ตำแหน่งนี้จะจ่ายที่ประมาณ 35,000 - 45,000 บาท ดังนั้นถ้าผมได้รับเงินเดือนในช่วงดังกล่าวเป็นเงินเดือนเริ่มต้น ผมคิดว่าผมรับได้ครับ
และ “My salary requirements are flexible, but I do have significant experience in the field that I believe adds value to my candidacy.”
สามารถเจรจาได้ครับ แต่ผมมีประสบการณ์ในสายงานนี้มาอย่างดี ผมเชื่อว่าตรงนี้สามารถนำมาคิดเป็นเงินเดือนของผมได้
ข้อควรระวัง :หลายบริษัทที่คุณไปสัมภาษณ์มักจะพยายามกดเงินเดือนที่คุณเรียกอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าคุณต้องการตัวเลขใดให้บวกเพิ่มไป 15-20% ก่อนจะเจรจาจะดีกว่านะครับ
- What is your greatest strength? -
- จุดแข็งที่ใหญ่ที่สุดของคุณคืออะไร -
คำแนะนำ :ก่อนสัมภาษณ์คุณควรลิสต์ข้อดี จุดแข็ง สกิล และประสบการณ์ที่คุณมีออกมาก่อน และเลือกมาสัก 3-4 อย่างที่เด่นๆ และเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่คุณสมัครเท่านั้น อย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่มีโฟกัส เพราะมันจะลดความน่าเชื่อถือของข้อดีที่คุณเล่าไปก่อนหน้า และควรยกตัวอย่างว่าคุณได้ใช้ข้อดีเหล่านั้นทำอะไรมาบ้างในอดีต เพราะหากผู้สัมภาษณ์ถามว่า “คุณจะเอาข้อดีเหล่านั้นมาช่วยบริษัทได้อย่างไร” คุณจะได้คิดออกทันท่วงที
ตัวอย่างที่คุณอาจเอาไปใช้ได้
“I have extremely strong writing skills.” ดิฉันมีประสบการณ์ทางด้านการเขียนที่ดีมากค่ะ
“Having worked as a copy editor for five years, I have a strong attention to detail when it comes to my writing.” จากการที่ได้ทำงานเป็นก๊อปปี้ไรท์เตอร์มา 5 ปี ดิฉันให้ความใส่ใจกับรายละเอียดในงานเขียนของดิฉันมาก
“I have also written for a variety of publications, so I know how to shape my writing style to fit the task and audience.”
ดิฉันยังได้เขียนโฆษณามาหลายชิ้น ดังนั้นดิฉันจึงรู้ว่าควรจะปรับรูปแบบสไตล์การเขียนให้เข้ากับผู้อ่านได้อย่างไร
“As a marketing assistant, I will be able to effectively write and edit press releases and update web content with accuracy and ease.”
ในฐานะที่เคยเป็นผู้ช่วยฝ่ายการตลาด ดิฉันสามารถเขียนและแก้ไขชิ้นงานพีอาร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอัพเดทเนื้อหาบนเว็บไซต์ด้วยความถูกต้องและเรียบร้อยค่ะ
หรือ “I am a skilled salesman with over ten years of experience.” ดิฉันเป็นเซลส์ที่มีทักษะและประสบการณ์การทำงานมามากกว่า 10 ปี
“I have exceeded my sales goals every quarter and I've earned a bonus each year since I started with my current employer.” ดิฉันสามารถขายได้เกินเป้าหมายทุกไตรมาส และได้โบนัสทุกปีตั้งแต่ดิฉันทำงานบริษัทเก่าค่ะ
ข้อควรระวัง :นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเขินอายหรือถ่อมตน เพราะนี่เป็นเวลาที่คุณควรพูด และคุณควรเตรียมพร้อมมาอย่างดีด้วย จงอย่าลืมทำให้มั่นใจว่าข้อดีข้อใดข้อหนึ่งของคุณ ได้ทำให้ผู้สัมภาษณ์ประทับใจ
- What is your greatest weakness? -
- อะไรคือข้อด้อยที่ใหญ่ที่สุดของคุณ -
คำแนะนำ :การตอบคำถามเรื่องข้อด้อยเป็นเรื่องยาก เพราะคุณไม่ควรตอบเรื่องแย่จนผู้สัมภาษณ์คิดไปว่าคุณคงไม่สามารถทำงานนี้ได้ สิ่งที่ควรตอบคือสกิลบางอย่างที่ไม่มีผลกับการทำงาน หรือพูดถึงสกิลที่คุณกำลังพัฒนาอยู่ หรือเปลี่ยนข้อเสียให้เป็นข้อดีไปเลยก็ได้ โดยคุณอาจตอบด้วยประโยคเหล่านี้
“Being organized wasn't my strongest point, but I implemented a time management system that helped my organization skills.
ความเป็นระเบียบอาจไม่ใช่จุดแข็งของผมนะครับ แต่ผมก็มีระบบจัดการเวลาที่ช่วยให้ผมทำงานได้เป็นระเบียบมากขึ้นครับ
“I like to make sure that my work is perfect, so I tend to perhaps spend a little too much time checking it. However, I've come to a good balance by setting up a system to ensure everything is done the first time correctly.”
ผมชอบที่จะมั่นใจว่างานของผมออกมาสมบูรณ์แบบครับ ดังนั้นผมจึงมักจะใช้เวลาตรวจเช็คงานค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามผมเองก็มีระบบการทำงานที่จะทำให้มั่นใจว่างานที่ผมทำนั้นถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกครับ
“Sometimes, I spend more time than necessary on a task or take on tasks personally that could easily be delegated to someone else. Although I've never missed a deadline, it is still an effort for me to know when to move on to the next task, and to be confident when assigning others work.”
บางครั้งผมใช้เวลามากเกินไปในการทำงานด้วยตนเอง ซึ่งจริงๆแล้วสามารถกระจายงานให้คนอื่นได้ แม้ว่าผมจะไม่เคยส่งช้ากว่าเด้ดไลน์ แต่มันก็ทำให้ผมต้องพยายามรู้ตัวเองว่าต้องเปลี่ยนไปทำงานชิ้นต่อไปได้แล้ว และต้องมีความมั่นใจในการส่งมอบงานต่อมากขึ้นครับ
ข้อควรระวัง :ถ้าก่อนสัมภาษณ์เราต้องเตรียมคำตอบเรื่องข้อดี เราก็เผื่อเวลาเตรียมคำตอบของข้อเสียไปด้วยเลยก็ได้ เพราะการหลีกเลี่ยงไม่ตอบหรือนึกไม่ออกตอนสัมภาษณ์อาจทำให้เราดูเหมือนเป็นคนที่ไม่รู้จักสังเกตตัวเอง หรือไม่สนใจพัฒนาตัวเองได้เหมือนกัน
Comments